หมวดหมู่สินค้า
พระเครื่องพระกำแพงลีลา(เม็ดขนุน)2 จ.กำแพงเพชร ก่อนปี1900
ยี่ห้อ :
พระกำแพงลีลา(เม็ดขนุน)จ.กำแพงเพชร
สภาพสินค้า :
สินค้ามือสอง
ราคา :
2,200,000.00
บาท
วันที่เริ่ม :
19 ก.พ. 2553 22:44:05
วันที่อัพเดท :
15 ก.ย. 2553 17:37:30
ip :
125.24.181.1xx
ข้อมูลร้าน
ร้าน :
ชื่อผู้ขาย :
-
จังหวัด :
-
จำนวนสินค้า :
0 ชิ้น
คนเข้าชม :
-
อัพเดทร้าน :
-
เปิดร้าน :
-
รายละเอียดสินค้า
พระลีลาเม็ดขนุน จังหวัดกำแพงเพชร เป็นพระที่แสดงลักษณะกำลังก้าวเดิน โดยหันไปทางขวามือของเรา หมายถึงความเจริญก้าวหน้า และเป็นปางที่สมเด็จองค์สัมมาสัมพุทธเจ้า ในครั้งที่ไปแสดงธรรมโปรดองค์พุทธมารดาบนสวรรค์
มีลักษณะโดยรวมพอกล่าวเป็นสังเขปได้ดังต่อไปนี้ พระพักตร์เป็นศิลปะต้นยุคสุโขทัย มีเส้นรัศมีเป็นประภามณฑลที่เป็นเนื้อรอบพระพักตร์ มีพระเกศเหมือนทรงหมวกเทวดาที่มีปล้องข้อกำไลตรงกลางและปลายเป็นปลีแหลม ยาวไปจรดเส้นซุ้มรัศมีประภามณฑลด้านบน มองเห็นพระเนตรปลายแหลมชี้ขึ้น มีพระนาสิกและพระโอษฐ์คล้ายกับแย้มพระสรวล ติดเพียงลางๆ พระภานุ(คาง)มีลักษณะแหลมมองกลืนไปกับพระศอ พระกรรณมีลักษณะงอโค้งเข้าด้านบนติดกับขอบหมวกเทวดา และปลายเป็นเส้นระบายอ่อนๆลงมา พระอุระเป็นแผงกว้างนูนขึ้น พระอุทรสอบเข้าเพรียวลงมาดูมีเอว มองเห็นพระนาภีเป็นแอ่ง และมองเห็นด้านล่างมีชายผ้าคลุมเป็นเส้นคมพริ้วปลายแหลม ใต้ล่างลงมาก็จะมีก้อนเนื้อเกิน ที่อยู่บนเหนือระหว่างที่ปลายพระบาทต่อติดกันกับส้นพระบาท
แต่ที่สำคัญเป็นจุดน่าสังเกตุคือ ปลายส้นพระบาทที่ยกขึ้นข้างซ้ายมือเรา จะมีลักษณะเหมือนใส่รองเท้าส้นสูง และพระหัตถ์ในด้านนี้ ก็จะมองเห็นปลายนิ้วกับพระหัตถ์ยาวลงไปจรดถึงส้นพระบาทที่ยกขึ้นมา และอีกจุดที่พิเศษในพระเม็ดขนุนนั้น คือจะมองเห็นเส้นเกลียวเชือก คือรอยที่เกิดขึ้นจากการแกะแม่พิมพ์เป็นดูเป็นเส้นทิวๆคล้ายเกลียวเชือก อยู่ในร่องซุ้มที่ดูค่อนข้างลึกรอบข้างทั้งสองด้าน และให้ดูรอยเล็บหยิกที่เป็นรอยตัดปาดทางด้านบน สันนิษฐานว่าน่าจะเป็นรอยเล็บหยิบองค์พระออกมาจากแม่พิมพ์ ซึ่งดูรับตรงกันกับที่เห็นรอยงัดข้างล่างทางด้านหลังของพระ ซึ่งจะเห็นเป็นรอยยกกระดกขึ้นมา
เมืองนครชุม ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำปิงฝั่งตะวันตก มีเจดีย์รูปทรงแบบพม่าอยู่ 1 องค์ ด้านใต้ มีพระอุโบสถ มีพระพุทธรูปสำริดสมัยสุโขทัยและสมัยอยุธยาหลายองค์ด้วยกัน เดิมทีเป็นเจดีย์ทรงพุ่มข้าวบิณฑ์ที่เจ้าพระยาลิไทเสด็จมาสถาปนาและบรรจุพระบรมสารริกธาตุไว้ภายในเมื่อปี พ.ศ. 1900 ต่อมาพญาตะก่า (แซกอ) หรือแซงพอพ่อค้าไม้เมืองกำแพงเพชร ซึ่งมีจิตศรัทธาได้บูรณะปฏิสังขรพระเจดีย์ในวัดพระธาตุ เมืองนครชุม เมื่อปี พ.ศ. 2404 (จุลศักราช 1233)ภายหลังจากการบูรณะพระเจดีย์ในปี พ.ศ. 2392 พระเครื่องแห่งเมืองกำแพงเพชร ก็ได้แตกกรุออกมาจากวัดพระธาตุ เป็นปฐมฤกษ์ ในบรรดาพระเครื่องแตกกรุจากวัดแห่งนี้ มีพระกำแพงซุ้มกอและกำแพงทุ่งเศรษฐีอยู่ด้วย (ฝากกรุ)
สำหรับพระกำแพงซุ้มกอ พิมพ์ใหญ่ไม่มีลายกนกเป็นพระเครื่องเนื้อดินเผาที่มีเนื้อดินสีดำเป็นเนื้อดินละเอียดและจะปรากฏเม็ดแร่สีแดง (ว่านดอกมะขาม) พร้อมกับคราบากรุสีเทา ที่สำคัญของแท้นั้นจะต้องไม่มีแร่กรวดทราบเจือปนอยู่เลย ซึ่งสีดำที่ว่าไม่ใช่ดำสนิท หากแต่เป็นลักษณะของสีดำอมน้ำตาลเป็นพระเครื่องที่สร้างขึ้นมาเพื่อบรรจุพระเจดีย์ที่สร้างขึ้นก่อนปี พ.ศ. 1900
เรื่องสำคัญที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาของพระกำแพงเม็ดขนุน
ก็คือสีสำหรับสีนั้นพระพิมพ์นี้มีเกือบทุกสีในระบวนการสีของพระเครื่องด้วยกัน กล่าวคือ จำพวกสกุลแดง ก็จะมีความแดงที่ไม่สดนัก ถ้าเข้มก็จะเป็นแดงคล้ำดังเช่นสีชาดก้อน หรือถ้าอ่อนก็เช่นสีอิฐ จากนั้นก็เป็นแดงอมเหลืองอันเป็นสีที่สว่างอันออกในลักษณะสีส้ม ซึ่งจะมีความจัด อ่อนลดหลั่นกันไปอีก และจำพวกเหลืองแก่ นี้จะเป็นสีที่สดสวยกว่าสีอื่นทั้งมวล ในสกุลพระกำแพงเม็ดขนุนด้วยกัน นอกจากนั้นก็เป็นจำพวกเหลือง สีเหลืองนี้มีสีค่อนข้างแห้งและนวลเช่นใบไม้แห้ง พิกุล แห้งมากกว่าเหลืองสด เหลืองสดที่ปราศจากการอมแดงนั้นพบน้อย นอกจากนี้ความอ่อนของสีเหลืองยังปรากฏอีกหลายระดับ จนถึงสีใบลานหรืออ่อนกว่าซึ่งบางท่านนิยมกำหนดเป็นสีขาวก็มี สำหรับสีสำคัญและดูง่ายที่สุดก็คือพวกสีน้ำตาล สีน้ำตาลของพระกำแพงเม็ดขนุนนั้น เป็นสีน้ำตาลเหลืองคล้ำ และแทรกด้วยเขียวเท่าเล็กน้อย กับมีความอ่อนแตกต่างออกไปอีกหลายระดับ ตั้งแต่น้ำตาลสีขี้ผึ้งผสมจนถึงน้ำตาลแก่เม็ดมะขาม พระกำแพงเม็ดขนุนสีน้ำตาลนั้น เป็นจำพวกเนื้อละเอียดนุ่มแทบทั้งสิ้นจึงดูง่ายมาก นอกจากพระเนื้อละเอียดนุ่มปานกลาง และทั้งสีและเนื้อมีกจะมีความสม่ำเสมอทั่วทั้งองค์ เนื้อแบบนี้ถ้าหากมิได้ใช้แล้วเมื่อใช้แว่นขยายมากเท่าส่องดู จะเห็นความละเอียดยิบของมวลสารที่ประกอบกันเป็นหนึ่งเนื้อเกษตร แต่ถ้าเป็นพระผ่านการใช้แล้วลักษณะดังกล่าวจะคงไว้ตามซอกต่างๆ ส่วนเนื้อที่สึกเพราะสัมผัสก็มักจะดูนุ่มจัดมากเช่นกัน
สำหรับสีผิวนั้นโดยข้อสันนิษฐานทั่วๆ ไปนั้นก็คงจะมีเช่นกัน แต่อาจจะน้อยโดยจะมีเฉพาะบางองค์ที่อยู่ในซากกรุ ซึ่งสัมผัสสิ่งภายในน้อยครั้ง จนทำให้ลักษณะความเหนียว-แกร่งของผิวลดลง ราดำอาจจะเกิดในลักษณะเขียวแกอมดำเกาะ แต่เท่าที่เคยพบนั้นเป็นพระกำแพงเม็ดขนุนเนื้อดินละเอียดเนื้อนุ่มสีแดงอมเหลือง (สีส้มสุก) ซึ่งพบในซากกรุเก่าข้างแนวซากกำแพง โดยกรุคงจะเสียหาย เพราะความหักพังตามธรรมชาติที่เก็บพระจึงถูกน้ำผ่านเป็นเนืองนิจ ผิวเริ่มเปื่อยยุ่ยลักษณะความแกร่งของผิวหมดไป โดยมีราเกาะเป็นสีเขียวคล้ำคล้ายตะไคร้น้ำ แต่ยังไม่คล้ำแก่ดังเช่นราดำที่กล่าวถึงกรณีนี้หากอยู่นานต่อไปอาจจะเป็นไปได้ที่จะแปรสภาพเป็นเช่นนั้น ผู้พบพระชุดนี้เล่าว่าในขณะพบครั้งแรกนั้น (ประมาณ พ.ศ.2496) สังเกตผิวดินรอบๆ บริเวณมีความชื้นมากเมื่อหยิบพระครั้งแรกนี้ขึ้นมาดูจับแรงไปทำให้บี้ไปเสียหลายองค์ ผลที่สุดต้องค่อยๆ เอาขึ้นมาถูกลม-แดดพอหมาดจึงแยกเป็นองค์ๆ ได้