หมวดหมู่สินค้า

พระเครื่อง

เหรียญหยดน้ำ หลวงปู่คำคนิง วัดคู่หาสวรรค์ ปี38 เนื้อทองแดง รุ่นสุดท้าย

เหรียญหยดน้ำ หลวงปู่คำคนิง วัดคู่หาสวรรค์ ปี38 เนื้อทองแดง รุ่นสุดท้าย

ยี่ห้อ :

เหรียญหยดน้ำ หลวงปู่คำคนิง วัดคู่หาสวรรค์ ปี38 เนื้อทองแดง รุ่นสุดท้าย

สภาพสินค้า :

สินค้ามือสอง

ราคา :

2,500.00

บาท

วันที่เริ่ม :

21 ส.ค. 2553 09:05:46

วันที่อัพเดท :

15 ก.ย. 2553 17:41:08

ip :

125.24.1xx.1xx

ปิดการขายสินค้า

ข้อมูลร้าน

ชื่อผู้ขาย :

-

จังหวัด :

-

จำนวนสินค้า :

0 ชิ้น

คนเข้าชม :

-

อัพเดทร้าน :

-

เปิดร้าน :

-

shop free

รายละเอียดสินค้า

เหรียญหยดน้ำ หลวงปู่คำคนิง วัดคู่หาสวรรค์ ปี38 เนื้อทองแดง เหรียญรุ่นสุดท้ายก่อนมรณภาพ หลวงปู่คำคะนิง ท่านเป็น พระเกจิ อาจารย์ สายข้าวเหนียว ครับ ประวัติของหลวงปู่ นั้นไม่ธรรมดา ครับ ท่านเคยท่องป่าเป็นฤาษีชีไพร นานนับหลายปี ครับ ก่อนจะบวชเป็นพระ ในช่วงที่ท่านเดินธุดงค์นั้น มีตำนานเหล่าว่า ท่านได้ลงไปในเมืองบาดารนับครั้งไม่ถ้วน ครับ ถ้าจะเหล่าถึงประวัติ ของท่านให้หมดนั้น 3 วัน ก็ไม่รู้จะจบหรือไม่ เอาเป็นว่าลองไปหาหนังสือเกี่ยวกับ ชีวประวัติของท่านกันเอาเองก็แล้วกันครับ เหรียญรุ่นแรกของท่านจริงๆนั้นออกปี2524 โดย อ.โชติ วัดภูเขาแก้ว จ.อุบลฯ(ลูกศิลย์)เป็นผู้จัดสร้าง ต่อมาในปี 2527 หลวงปู่ จึงมีดำริให้สร้างเหรียญรุ่นแรกโดยทางวัดของหลวงปู่ เป็นผู้ดำเนินการสร้างเอง ครับ.. เหรียญรุ่นนี้มีประสบการณ์ดีแทบจะทุกด้านเลยครับ ..ปัจจุบันร่างของหลวงปู่ยังไม่เน่าไม่เปลื่อย เรียกได้ว่าท่านเป็นพระอรหัน อีกรูปเหนึ่ง ของเมืองไทย ครับ ในช่วงปลายชีวิตท่านๆได้จำพรรษา ที่วัดถ้ำคูหาสวรรค์ อ. โขงเจียม จ. อุบลราชธานี เป็นที่สุดท้าย ประวัติหลวงปู่คำคนิง จุลมณี กำเนิด หลวงปู่ท่านเกิดวันพุธ เดือน ๔ ปี กุล อายุ ๙๐ พรรษา ถิ่นกำเนิดบ้านหนองบัว แขวงคำม่วง ประเทศลาว บิดาชื่อคุณพ่อคินทะโนราช มารดาชื่อคุณแม่ นุ่น มีพี่น้อง ๕ คน หลวงปู่คน ๓ ปัจจุบันได้เสียชีวิตแล้ว ชีวิตการครองเรือน เมื่ออายุได้ 18 ปี มีคออบครัว มีบุตรด้วยกัน 2 คน เริ่มแรกทำงานเป็นหัวหน้ากรมโยธา ทำอยู่ได้ 8 ปีก็เกิดเบื่อหน่าย หันมายึดอาชีพค้าขายประมาณ 6 ปี ท่านเกิดเบื่อหน่ายในชีวิตเห็นว่าชีวิตนี้เป็นทุกข์มีความตายในที่สุดได้แต่นึกคิดทบทวนในชีวิต ของท่านตั้งแต่ เล็กเคยอยู่กับพ่อแม่พี่น้องได้รับทั้งความอบอุ่น ความรัก จนกระทั่งเข้าสู่วัยหนุ่มต้องออกมาต่อสู้กับ โลก ภายนอกและความรับ ผิดชอบหน้าที่การงาน ให้ความสุข เลี้ยงดูลูกบุตรและภรรยาเห็นชีวิตนี้ไม่มีความแน่นอนเกิดเบื่อชีวิตคิดจะบวชเพื่อตอบแทนคุณบิดามารดา ท่านจึงได้ไปปรึกษาภรรยาจะขอบวชเป็นสามเณรสัก 7 วัน ภรรยาก็เห็นดีเห็นงามตกลงให้ท่านบวชทดแทนคุณพ่อแม่ที่เคยเลี้ยงดูมา ในระหว่างที่ท่านบวชเณรอยู่หนึ่งท่านฝันไปว่าเห็นมารดามาบอกว่าอย่าสึกเลยเพราะว่ามารดาที่ตายไปนั้นไปถูกจ่านิรบาลคุมขังเอาไว้ได้รับ ความทุกขเวทนามาเป็นเวลานาน เพิ่งจะได้รับการพ้นทุกข์เพราะอานิสงส์ของการบวชเณรของลูกในคราวนี้เอง ท่านตกใจตื่นนอน คิดทบทวนความฝันนั้นแล้วก็สังเวชสงสารมารดา คิดในใจว่าจะบวชต่อไปไม่สึก รุ่งเช้าจึงนำความฝันไปบอกภรรยาฟัง และขอบวชต่อไปอีก แต่ภรรยากลับหาว่าท่านคิดเอาตัวรอดผู้เดียว ไม่ยอมรับผิดชอบ ต่อครอบครัว ซึ่งลุกๆ ก็ยังเล็กอยู่ ท่านพยายามหาทางออกทุกอย่างโดยพูด กับภรรยา ว่า จะหาสามีให้ใหม่ ทั้งสองตกลงกันไม่ได้ ผลสุดท้ายหมดหนทาง เพราะทนการอ้อนวอน ขอร้องจากภรรยา ที่คอยติดตาม ท่านจึงตัดสินใจสึกจากเณรมาทำมาหากิน ส่งเสีย เลี้ยงดู ครอบครัว อีกวาระหนึ่ง แต่ถึงกระนั้นความตั้งมั่นในการบำเพ็ญเพียรธรรม ของท่าน หาได้มีลดละความพยายามไม่หลังจากท่านไปทำงานหาเงินทองเป็นกิจวัตประจำวันแล้วท่านจะมานอนที่วัดปฏิบัติธรรมสมาธิเป็นประจำ บ้านเรือนของท่านที่เคยอาศัยอยู่ก็ปล่อยให้ภรรยาและลูกๆ อยู่กัน เงินทองที่หาได้มาก็ส่งเสียเลี้ยงลูกไม่ได้ให้ขาดแคลนเดือด ร้อนอะไรจนกระทั่งลูกๆ ได้เติบโตพอที่จะช่วยแม่ทำงานได้ เหตุการณ์นี้เองทำให้ภรรยาท่านเกิดความเบื่อหน่ายหมดอาลัยตายอยากในตัวท่านจึงไ ด้เอ่ยปากบอกกับท่าน เมื่ออยากจะบวชก็ไปไม่ต้องเป็นห่วงทางครอบครัวลูกๆ ก็เติบโตแล้วพอจะช่วยทำงานทำการได้ ท่านจึง ตัดสินใจไปบวชด้วยความหมดห่วงหมดใย ชีวิตเข้าสู่การบำเพ็ญเพียรธรรม หลังจากได้ตกลงใจจะบวชในครั้งที่สองนี้ ท่านก็ได้เป็นโยมอยู่วัดอาจารย์ สีทัดที่เมืองท่าอุเทนกับเพื่อนอีก 2 คน แต่แล้วผิดหวัง เพราะอาจารย์สีทัดกลับ ปฎิเสท ไม่ยอมรับเป็นศิษย์แต่กับแนะนำให้เดินทางไปหาอาจารย์เหม่ย ท่านและเพื่อนร่วมเดินทางจึงกราบลาอาจารย์สีทัดเดินทางไปหาอาจารย์เหม่นตามคำแนะนำ พบอาจารย์ เหม่ย ผู้ทรงวิชาอันแก่กล้า เมื่อถึงที่อยู่ท่านอาจารย์เหม่ย ท่านแลเพื่อนทั้งสองก็เข้าไปกราบนมัสการกราบเรียนขอถวายตัวเป็นศิษย์ เล่าความเป็นให้ท่านให้ท่าน อาจารย์เหม่ยทราบโดยตลอด เมื่อท่านอาจารย์เหม่ยฟันความก็กล่าวว่า ได้ ถ้าจะมาเป็นศิษย์ แต่ว่าพวกเจ้าที่มาหาอาจารย์ทั้งสามคนนี้จะ ต้องตายคนหนึ่ง มีใครกลัวตายไหม อาจารย์เหม่ย กล่าว แล้วถามทีละคน ปรากฏว่าเพื่อนทั้งสองที่มาบอกว่า กลัวตายกัน แต่หลวงปู่คำคนิงนิ่งเงียบไม่ตอบ ท่านอาจารย์จึงเอ่ยปากถามว่า แล้วเจ้าเล่าไม่กลัวตายหรือหลวงปู่คำคนิง ตอบว่า ไม่กลัวตาย ผลสุดท้ายเพื่อนที่มา ด้วยกันสองคนถูกอาจารย์ไล่กลับไม่รับเป็นศิษย์ต่อมา ก็มีโยมมาอยู่ร่วมอีกคนหนึ่ง โยมคนไม่กลัวตายเหมือน กันกลับหลวงปู่คำคนิง ก็ได้อยู่ร่วมเป็นเพื่อนปฏิบัติธรรมด้วยกันพระอาจารย์เหม่ย ให้ศิษย์ทั้งสองฝึกฝนธรรมสมาธิกันอย่างหนัก แม้เวลาจะนอนก็ไม่ให้หลับ โดยให้ ลูกมะพร้าวเป็นหมอนหนุนหัวแทนทั้งสองก็ปฏิบัติตามครูบาอาจารย์สั่งทุกอย่าง การเพียนธรรมของศิษย์อาจารย์เหม่ยต้องลำลากแม้เวลาจะกินข้าวก็มีแต่ข้าวตากแห้วประทั้งชีวิตไปเท่านั้นการหลับ พักผ่อนก็ร่างกายสังขารทนไม่ไหวในที่สุดเพื่อนร่วมศิษย์อาจารย์สำนักเดียวกัน ต้องเอาชีวิตมาทิ้งในขณะนั่งทำสมาธิ อาจารย์เหม่ยสอนอสุภกรรมฐาน เมื่ออาจารย์เหม่ยทราบข่าวว่า ลูกศิษย์อีกคนได้เสียชีวิตแล้ว ขณะนั่งสมาธิ จึงได้สั่งหลวงปู่คำคนิงว่านำศพไปในป่า เดินข้ามเขาอีกหนึ่งลูกหนึ่ง แล้วเอาศพนั้นผูกมัดไว้ในลักษณะท่ายืนติดกับต้นไม้ แล้วสั่งให้หลวงปู่เดินรอมต้นไม้ที่ศพ มัดติดอยู่โดยให้เพ่งศพไปด้วยตลอดวัดตลอด คืนแต่ผู้เดียว รุ่งเช้าหลวงปู่ท่านกลับมาหาอาจารย์ อาจารย์ก็ถานว่าเป็น ยังไงท่านตอบว่าศพที่ตายไปนั้นเหมือนกับตัวท่านเอง ไม่มีอะไรแตกต่างกันตรงไหน อาจารย์เหม่ยถามอีกว่า กลัวไหม ท่านตอบว่าไม่กลัว เพราะเขาเหมือนเรา เราเหมือนเขา คราวนี้อาจารย์เหม่ยสั่งให้หลวงปู่ ท่านเอามีดไปที่ศพอยู่พร้อม กับสั่งให้ท่านแก้ศพที่มัดติดยืน 1 คืนออกจากต้นไม้ เอานอนลงกับพื้นดินให้หลวงปู่เอามีดผ่าท้องแล้วสั่งให้หลวงปู่หยิบ อวัยวะทุกชิ้นส่วนในร่างกายออกมาดู แต่ละชิ้นขณะที่หลวงปู่หยิบหัวใจก็ดีตับก็ดี ปอดก็ดี ให้พูดเสียงดังๆ ด้วยว่าเป็นอะไร แล้ว นำไปกองรวมกันอีกมุมหนึ่งจนกระทั่งครบทุกอย่างแล้วทำการลอกเนื้อหนังทุกชิ้นออกเช่าเดียวกัน ให้นำไปเผาไฟ คงเหลือไว้แต่กระดูก จึงสั่งให้ท่านนำกระดูกไปต้มล้างล้างให้สะอาด แล้วนำกระดูกทั้งหมดมาร้อยด้ายเป็นโครงกระดูก สั่งให้หลวงปู่นับด้วยจนครบหมดก็ได้นับ 180 ท่องท่านอาจารย์เหม่ยจึงกล่าวว่าคนที่จะมาเพียรธรรมให้บรรลุนั้นจะ ต้องมีกระดูกครบ 300 ท่อนอาจารย์ก็สอนธรรมไปในขณะหลวงปู่ร้อยกระดูก กระดูกคือพระวินัย เนื้อหนังคือพระวินอก ระเบียบ คือ หู ตา จมูก ปาก มือ เท้า หูไม่ฟังในสิ่งที่ไม่เป็นธรรม ตาไม่เห็นทั้งรูปและ นาน ในสิ่งที่ไม่เป็นธรรม ปากห้ามพูด ในสิ่งที่ไม่ดี ใจให้ระลึกชอบ ต้องคิดชอบ ปฏิบัติชอบ อยู่ชอบ กินชอบ วาจาชอบ นอนชอบให้ถูกต้องตามที่องค์สมเด็จ พระสัมมาพระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้ หลวงปู่ได้รับการสั่งสอนอบรมฝึกฝนเคร่งครัดและเว้นความชั่วทุกประการการทำความ เพียรของหลวงปู่มีจิตใจกล้าหารกล้าเสี่ยงความตายสร้างพลังจิตกระทำสมาธิภาวนาด้วยการเจริญอานาปานสติเป็นมาตรฐาน คืนการเดิมลมเข้าออกภาวนาพุทโธนั้นเองการฝึกจิตต้องฝึกอานาปานสติก่อน เพราะเป็นกรรมฐานกองใหญ่และ ยากที่สุดในกรรมฐาน 40 กองหลวงปู่ กล่าวว่าจะเพ่งกสิน 10 อสุพะ 10 อนุสติ 10 และอาหาเรปฎิกูลสัญญา จตุธาตุวัฎฐานหรืออะไรก็ตาม ถ้าไม่ใช้อานาปานสติควบคู่ไปด้วยไม่มีทางจะได้ผลหลวงปู่คำคนิงมัดจพำเพ็ญเพียรภาวนาอดอาหาร 7 วันบ้าง 15 วันบ้าง จนร่างกายชินเป็นธรรมดาไป ร่างกายไม่อ่อน เพลียหิวโหยแต่อย่างใด หลวงปู่คำคนิง ให้คำอรรถาธิบายว่า ก่อนเข้าสมาธิภาวนา จะต้องกำหนดอธิษฐานไว้ก่อนว่า จะเข้าสมาธิระดับฌานที่ 1 ถึงฌาน 4 เป็นเวลากี่วันกี่คืน เมื่อกำหนดได้แล้วก็เข้าสมาธิภาวนาจนถึงขั้นอัปปนาสมาธิ จากนั้นก็ถอยจิตออกมาอยู่ระดับอุปจาร สมาธิซึ่งเป็นสมาธิระดับที่ใช้ความพิจารณาได้แล้วน้อมจิตอธิฐานว่าจะเข้าฌาน 7 วัน หรือ 15 วัน ก็อธิฐานลงไปเลยพระพุทธเจ้าทรงบัญญัติไว้ไม่ให้เข้านานวันจนเกินไปเป็นการ ทรมานตัว หลวงปู่คำคนิงบอกว่า เมื่อเข้าสมาธิลึกถึงอัปปนาฌาน 4 เลยขึ้นอรูปฌานก็ได้แต่ต้อง ชำนาญฌาน 4 ก่อนเพียงแต่ว่าเพิกกสิณให้หายไปเสียแล้วยกเอารูปกรรมฐานทั้ง 4 มาพิจารณาคืน 1.อากาสานัญจายตนะ2.วิญญาณัญจายตนะ 3.อากิญจัญญายตนะ 4.เนวสัญญานาสัญญายตนะ ทั้งหมดนี้เรียกว่าอรูปสมาบัติ หรือสมาบัติ 8 ผู้ได้ถึงสมาบัติ 8 ย่อมมีอำนาจ พลังจิตมหาศาลและมักจะได้ อภิญญา 5 ด้วยผู้ที่ได้สมาบัติ 8 แล้วถ้าเจริญวิปัสสนาสืบต่อใช้เวลาเพียงชั่วแค่เคี้ยวหมากแหลกเดียวก็เป็นพระอรหันต์ แต่หลวงปู่คำคนิงท่านไม่ไช่พระอรหันต์ท่านเป็นเพียงพระภิกษุผู้เพียรปฏิบัติอยู่ในรอยพระพุทธศาสนา หลวงปู่ท่านเพียรธรรม กับอาจารย์เหม่ยจนแก่กล้า และชำนาญในการเข้ากรรมฐานจนครบทุกอย่าง ท่านอาจารย์เหม่ยก็อนุญาตให้หลวงปู่เข้าป่า เดินธุดงค์ตามลำพังแต่ผู้เดียวนับแต่นั้นเป็นต้นมา ถึงแม้กระนั้นหลวงปู่ท่านก็ยังไม่รู้ว่าตัวท่านได้ธรรมท่านก็ยังอุตสาห์เที่ยวเดินธุดงค์ค้นหาครูบาอาจารย์ เพื่อศึกษาปฏิบัติธรรม เพื่อจะได้พบโมกขธรรมแห่งการหลุดพ้นการเวียนว่ายตายเกิดต่อไปอีก เดินธุดงค์พบนาคกระเสน เมื่อหลวงปู่คำคนิงออกเดินธุดงค์ผ่านป่าเขาไปทางเหนือของประเทศลาวเป็นเวลาแรมปี จนกระทั้งพบดาบสผู้หนึ่งให้คำแน่นำไปหาพระนาค กระเสน ซึ่งอยู่ในอุโมงค์บนเทือกเขา ( พระนาคนาคกระเสนนี้เห็นหลวงปู่บอกว่าไม่ใช่คนธรรมดา เป็นพระอรหันต์ลงมาโปรด ) ครั้ง หลวงปู่คำคนิงไปถึง ก็เข้าไปในอุโมงค์นั้นพอไปได้แค่ครึ่งทางก็พบพระนาคกระเสนพระนาคกระเสนจึงได้ถามการมาของหลวงปู่คำคนิง ท่านก็ตอบพระนาคกระเสนว่าต้องการมาหาโมกขธรรมพระนาคกระเสนจึงได้ให้พระคัมภีร์แผ่นทองคำแก่หลวงปู่ โดยได้สั่งให้หลวงปู่นำ แผ่นทองคำพระคัมภีร์ของพระนาคกระเสนนี้ไปคัดลอกใส่ใบลานตามกำหนดเวลาที่ตกลงไว้แล้วหลวงปู่นำเอาแผ่นทองคำพระคัมภีร์นั้นกลับมาคืน เมื่อหลวงปู่คำคนิงได้กลับเอาแผ่นทองคำพระคัมภีร์ไปคืน พระนาคกระเสนแล้ว ก็ได้ถามหลวงปู่คำคนิงว่า ท่านจะไปไหนต่อ หลวงปู่ตอบว่า จะไปหาโมกขธรรม พระนาคกระเสนจึงตอบว่าโมกมันอยู่ในตัวเจ้าแล้ว เจ้ารู้ตัวไหม หลวงปู่คำคนิงกลับไม่เชื่อในคำบอกเล่าหาว่าพระนาคกระเสนพูดโกหก ดังนั้น หลวงปู่จึงถูกพระนาคกระเสนด่าว่าต่างๆ ที่ไม่เชื่อพระนาคกระเสน เลยบอกว่าถ้าเจ้าไม่เชื่อว่า โมกขธรรมมันอยู่ในตัวเจ้าละก้อ จงเดินไปตายเสีย แล้วพระนาคกระเสนก็ขับไล่ไม่ให้อยู่ออกจากที่นั้นทันทีใด หลวงปู่เกิดเสียใจ คิดจะไปตายไม่ว่าจะเดินเข้าป่าขึ้นเขาลงห้วย ก็จะไม่ยอมให้ผู้คนเห็นหน้าหลวงปู่เดินธุดงค์อย่างไม่มีจุดหมายปลายทาง หวังเบื้องหน้าเป็นที่ตาย จน ถึงเชียงค้อ เชียงคาน เชียงราย เชียงแสง จนกระทั่งเชียงแมนถึงเขตเชียงตุงในป่าทึบใหญ่ หลวงปู่คำคนิงแสดงฤทธิ์กับหลวงพ่อปาน เมื่อหลวงปู่คำคนิงเดินธุดงค์ผ่านเข้าเขตเชียงตุงในเขตป่าใหญ่เทือกเขาแห่งหนึ่งเป็นภูเขา คิน มีอุโมงค์พอที่จะพักพิงหลวงปู่ท่านจึงคิดในใจว่า จะเอาที่ตรงนี่เป็นที่ตายโยจะไม่ให้ใครเห็นแม้แต่ซาดศพของท่านเอง หลวงปู่ ได้อยู่มาถึงหนึ่งพรรษาหลังจากผ่านไปประมาณ เดือนห้าเดือนหก หลวงพ่อปาน วัดบางนมโค อำเภอเสนา จังหวังพระนครศรีอยุธยาได้พาคณะธุดงค์มาในเขตเชียงตุง มาพบหลวงปู่คำคนิง ในป่าลึกครั้นเมื่อพบกัน หลวงพ่อปานก็พูดขึ้นว่า “เออ...นี้พระหรือคน” หลวงปู่คำคนิงได้ยิน ก็เกิดโมโหเดือดดาลขึ้นมาทัน ที แล้วพูดขึ้นว่า “ไอ้พระนะมันอยู่ที่ไหน เฮ้ย...พระมันอยู่ที่ไหนวะ”หลวงพ่อปานท่านก็ย้อนตอบว่า “อ้าว...ก็เห็นผมยาว ผ้าอีหรุปุปะสีเหลืองก็ไม่มี แล้วใครเขาจะรู้ว่าพระหรือคน” หลวงปู่คำคนิงท่านก็ถามหลวงพ่อปานว่า “พระมันอยู่ที่ผมหรือวะ” หลวงพ่อปานตอบว่า ไม่ใช่ หลวงปู่คำคนิงท่านก็ถามหลวงพ่อปานว่า แล้วพระมันอยู่ที่ผ้าเหลืองหรือวะ หลวงพ่อปานตอบว่า ไม่ใช่ หลวงปู่คำคนิงก็ถามอีกว่า แล้วมันอยู่ที่ไหนเล่า หลวงพ่อปาน ก็ตอบว่า พระน่ะอยู่ที่ใจสะอาดนะซี หลวงปู่คำคนิงท่าน เลยหันมาตะคอกเข้าใส่เอาว่า ถ้าอย่างนั้นก้อเสือกมาถามทำไมล่ะว่าพระหรือคน หลวงพ่อปานท่านก็ตอบกลับให้ว่า เห็นผมเผ้ายาวรุงรังอย่างนั้นนี่ใครจะไปรู้เล่า หลวงคำคนิงก็ยังไม่หายโมโห เลยกระแทกให้ว่า ก็ในเมื่อพระไม่ได้อยู่ที่ผมไม่ได้อยู่ที่ผ้าแล้ว เสือกถามทำไม ทำไมไม่ดูใจคน ไอ้พระบ้านพระเมือง พระกินข้าวชาวบ้านแบบนี้อวดดีมันจะต้องเห็นดีกัน หลวงปู่คำคนิงพูดจบ ท่านเดือดโมโหจัดก็เลยหันไปคว้าเอาหวายอันยาวร่วมวา ขว้างผลุงไปตรงหน้าหลวงพ่อปานอัศจรรย์ที่สุด ไม้หายไปกลายเป็นงูตัวใหญ่ยาวพุ่งฉกเข้าหากลุ่ม พระธุดงค์หลวงพ่อปานแตกฮือหลบฉากไปแอบอยู่ข้างหลังหลวงพ่อปานกันหมดต่างก็แปลกใจไปตามๆกันไม้ไหงกลายเป็นงูไปได้ หลวงพ่อปานท่านก็ก้มลงเก็บใบไม้ขึ้นมาเสกแล้วขว้างออกไปอัศจรรย์มากใบไม้ของหลวงปานก็กลายเป็นนกตัวใหญ่โฉบเอางูของหลวงคำคนิงหาย ไปทั้งงูแลนกใหญ่ พองูตกลงมาถึงพื้นดินงูนั้นก็กลายเป็นช้างใหญ่ ส่วนของหลวงพ่อปานก็กลายเป็นเสือต่อสู้กันต่างฝ่ายต่างก็บันดานให้เป็สัตว์ร้ายต่อสู้กันเต็มไปหมดยังไม่มีใครแพ้ ชนะ ต่างคนต่างบันดานลมพายุฝนเข้ากระหน่ำกันจนทำให้ฝุ่นตลบไปหมดในบริเวณนั้นเวลา ผ่านไปครึ่งค่อนวัน ก็หามีคนแพ้ชนะไม่จนต่างฝ่ายต่างเหนื่อย อ่อนทำอะไรกันไม่ได้ ในที่สุด หลวงปู่คำคนิงและหลวงพ่อปานต่างก็นั่งลง หัวเราะกันด้วย ความขบขัน หลังจากนั้นหลวงปู่คำคนิงก็บอกคณะพระธุดงค์ของหลวงพ่อปานว่าข้าสองคนเป็นเพื่อนกัน พระธุดงค์หลวงปาน ก็เข้ากราบหลวงปู่คำคนิง ท่านเอามือลูบศีรษะพระทุกองค์ด้วยความเมตตา หลวงพ่อปานบอกกับหลวงปู่คำคนิง ว่าพระพวกนี้เขาอยากเห็นของจริงก็เลยพาเขามาให้เห็นเสีย พระพวกนี้เขานี้ก็เป็นคนจริงเสียด้วย หลวงปู่คำคนิงก็เลยบอกว่าข้าไม่เก่งอะไรหรอก อาจารย์แก่เขา เก่งอยู่แล้ว เมื่อพูดจน หลวงพ่อปานก็บอกว่าตัวท่านเองไม่เก่งหรอกสู้หลวงปู่คำคนิงไม่ได้ ต่างฝ่ายต่างไม่ยอม ให้ใครเป็นอาจารย์กันผลสุดท้ายตกลงเป็นเพื่อนกันระหว่างพักแรมด้วยกัน ต่างฝ่ายต่างโต้ตอบถามธรรมะแก่กันทั้ง ฝ่ายแก้ก็หาได้แพ้ชนะกันไม่สลับถามตอบกัน ไปกันมา จนต่างฝ่ายเลิกถามกันไปกันเอง หลวงพ่อปานและคณะพระธุดงค์ได้พักอยู่กับหลวงปู่คำคนิง หลายวันพอสมควร จึงได้แยกย้ายจากกัน หลวงปู่ได้ป่วยเป็นโรคปอดบวม และมรณภาพลงเมื่อวันที่ 17 เมษายน พศ. 2528 เวลา 11.13น.

สินค้าใกล้เคียงในหมวด

พระเครื่อง

ร้านค้าออนไลน์ , ขายของออนไลน์

SiamShop.com ผู้ให้บริการด้าน ร้านค้าออนไลน์ เปิดร้านค้าออนไลน์

โดยทีมงานที่มีประสบการณ์การทำเว็บไซต์ขายสินค้าออนไลน์กว่า 6 ปี
© Copyright 2024 All right reserved. SiamShop.com

ติดต่อเปิดร้านค้าออนไลน์ได้ที่ [email protected]

เวลาทำการ : จ-ศ 8:30-17:30 น.