Alpha Lipoic Acid (ALA) 300 mg

รายละเอียดสินค้า

อาหารเสริมเร่งผิวขาว เร่งขึ้น 2 เท่า ดีกว่าวิตามินซี 50 เท่า เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของกลูต้าไธโอน ด้วย Alpha Lipoic Acid (ALA) ขาวเร็วและมากขึ้น 2 เท่า กรดอัลฟาไลโปอิก ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของสารต้านอนุมูลอิสระตัวอื่นๆ เช่น วิตามินซี, อี, Glutathione หรือ Co-enzyme Q10 ให้กลับมาอยู่ในรูปที่ใช้งานได้อีก สามารถละลายได้ทั้งในน้ำและน้ำมัน สามารถแทรกซึมไปชะลอความเสื่อมของเซลล์ได้ทั่วเซลล์ในร่างกาย มีคุณสมบัติเหนือกว่า 4-5 เท่า และมีฤทธิ์แรงกว่า วิตามินอี และวิตามินซี 50 เท่า ประโยชน์ของ ALA ต่อต้านอนุมูลอิสระในเซลล์ได้ทั่วร่างกายและมีฤทธิ์แรงกว่าสารต้านอนุมูลอิสระชนิดอื่นๆ คือมีฤทธิ์แรงกว่า CoQ10 ถึง 4-5 เท่า และแรงกว่าวิตามินอี วิตามินซี 50 เท่า - ช่วยทำให้สารต้านอนุมูลอิสระอื่นๆที่อยู่ในร่าง กาย นำกลับมาใช้ใหม่ในร่างกายได้อีกครั้ง เช่น ทำให้กากของวิตามินอี วิตามินซี วิตามินเอ กลูตาไธโอน CoQ10 และอื่นๆ ถูกนำกลับมาใช้ใหม่ได้อีกครั้ง - ช่วยต่อต้านอนุมูอิสระในบริเวณสมองของเราได้ดีที่สุด ช่วยป้องกันโรคทางสมองต่างๆ - ช่วยเพิ่มระดับสารกลูตาไธโอนในตับ จึงช่วยล้างพิษตกค้างในร่างกายออกไปได้อย่างรวดเร็ว และมีผลต่อการลดจุดด่างดำที่ผิวหนัง และชะลอความเสื่อมที่ผิวหนังได้ดีเยี่ยม - ชะลอความเสื่อมของเซลล์ได้ดีกว่าสารตัวอื่น มีฤทธิ์ต้านการอักเสบ ลดขนาดรูขุมขน ลดการทำลายจากรังสียูวี - ช่วยลดริ้วรอยทำให้ผิวมีสุขภาพดีขึ้น ซึ่งมีการทดลองในกลุ่มตัวอย่างยืนยันว่า กรดอัลฟาไลโปอิกช่วยลดริ้วรอยตื้นๆได้มากกว่า 50% อีกทั้งยังทำให้แผลเป็นเนียนเรียบและหายเร็วขึ้น กรด อัลฟาไลโปอิก เป็นเพียงสารต้านอนุมูลอิสระตัวเดียวที่สามารถกระตุ้นให้มีการสร้างกลูต้าไธ โอนในเซลล์ จึงทำให้ระดับของกลูต้าไธโอนในร่างกายเพิ่มขึ้นได้ เพราะฉะนั้น กรดอัลฟาไลโปอิก จะเป็นตัวที่ช่วยเสริมฤทธิ์กลูต้าไธโอนได้ดีที่สุดในบรรดาลสารต้านอนุมูลอิสระต่างๆ ความแตกต่างระหว่างอาหารเสริมนอกและอาหารเสริมไทย เหตุใดทางร้านจึงแนะนำอาหารเสริมนอกมากกว่า ? ข้อแตกต่างหลักๆจะมีอยู่ 3 อย่าง คือ ราคา ปริมาณสาร และคุณภาพของผลิตภัณฑ์ 1. ราคาสินค้า โดยทั่วไปอาหารเสริมนอกจะบรรจุจำนวนเม็ดมากกว่า ทำให้ราคาขายสูงกว่า แต่เมื่อลองหารดูจะพบว่าราคาต่อเม็ดถูกกว่า หรืออาหารเสริมนอกจะมีปริมาณของสารต่อเม็ดมากกว่า ทำให้ราคาขายสูงกว่า แต่เมื่อลองหารดูต่อปริมาณสาร จะพบว่าของนอกมีราคาถูกกว่า 2. ปริมาณสาร ปริมาณสารของอาหารเสริมนอกจะมีมากกว่า และมั่นใจได้ว่าปริมาณที่เขียนไว้บนฉลากมีตามที่ระบุเอาไว้ ต่างจากอาหารเสริมไทยมักมีสารไม่ถึงตามที่ระบุเอาไว้บนฉลาก อันนี้ต้องบอกเลยว่าเจอกับตัวเอง เพราะเคยลองเอาอาหารเสริมยี่ห้อต่างๆในไทยมาชั่งดูปริมาณ อย่างอาหารเสริม ก ระบุเอาไว้บนฉลากว่ามีทั้งหมด 850 mg แต่ว่ากลับชั่งสารที่อยู่ในแคปซูลได้แค่ประมาณ 520 mg / อีก ตัวอย่างหนึ่ง อาหารเสริม ข ระบุเอาไว้บนฉลากว่ามีทั้งหมด 850 mg เช่นกัน เมื่อชั่งสารออกมากลับมีอยู่แค่ 700 mg (ทาง ร้านไม่ขอระบุยี่ห้อละกันนะ) เหตุใดถึงเป็นเช่นนี้ เนื่องจากระบบมาตรฐานในการทำงานของเมืองไทยและเมืองนอกจะต่างกันโดยสิ้นเชิง เมืองนอกเรื่องมาตรการหรือระบบการทำงานต่างๆจะมีคุณภาพและเคร่งครัดค่อนข้างสูง การจะขอขึ้นทะเบียนอาหารเสริมนั้น อาหารเสริมจะต้องได้มาตรฐานและมีปริมาณตามที่ระบุไว้จริงๆ และ FDA จะมีการสุ่มตรวจผลิตภัณฑ์อยู่เป็นประจำ แต่ว่าของเมืองไทยการขึ้นอาหารเสริมบางครั้งแค่คุณมีเส้นสายหรือมีเงินเพียงแค่ไม่กี่หมื่นบาทก็สามารถขึ้น อย. ได้แล้ว หรือเมื่อขึ้น อย. ได้เรียบร้อยแล้ว พอบางบริษัทเห็นว่า อย. ไม่ค่อยมาตรวจ เค้าก็จะลดคุณภาพการผลิตของสินค้าลงเพื่อให้ค่าใช้จ่ายลดลง อย่างเช่น ปริมาณของสารไม่ถึงตามที่ระบุบนฉลากหรือตรงตามที่ขอขึ้นทะเบียนเอาไว้ ใช้สารที่มีคุณภาพต่ำลง ฯลฯ 3. คุณภาพของผลิตภัณฑ์ คุณภาพของสารที่ใช้ผลิตอาหารเสริมของนอกจะมีคุณภาพที่ดีกว่า สารที่ใช้กันอยู่ทั่วไปนั้นจะมีอยู่หลายเกรด แต่ละเกรดก็จะมีคุณภาพที่ต่างกัน อย่างของจีนแดง ญี่ปุ่น หรืออเมริกา ก็จะมีคุณภาพต่างกัน อาหารเสริมไทยบางยี่ห้อมักแอบอ้างว่าใช้สารของญี่ปุ่นหรืออเมริกา และมีใบ Certificate ของสารโชว์ว่าเป็นสารจากญี่ปุ่นหรืออเมริกา แต่ว่าความจริงหาได้เป็นเช่นนั้นไม่ ใบ Certificate ที่เอามา โชว์บอกว่าเป็นสารของญี่ปุ่นจริง แต่ตอนที่เค้าเอาสารมาผลิตบรรจุใส่ แคปซูล เค้าจะเอาสารนั้นมาใส่จริงหรือป่าวเราไม่สามารถรู้ได้ ใบรับรองที่จะบอกได้ว่าอาหารเสริมยี่ห้อนี้ใช้สารจากไหน คือ ใบรับรองของอาหารเสริมที่ได้รับรองจาก อย. ในประเทศนั้นๆ เท่านั้น แล้วคุณจะรู้ได้อย่างไรละว่าอาหารเสริมที่คุณทานเข้าไปเป็นของนอกจริงตามที่ เค้าโฆษณา ไม่ได้แอบผลิตในไทยแล้วเอามาแอบอ้างว่าเป็นอาหารเสริมนอก หรือได้คุณภาพมาตรฐานตาม GMP ของ เมืองนอก มีหลักสังเกต คือ 1. ต้อง มีสถานที่ผลิตหรือบริษัทผู้เป็น Distributor ระบุบนฉลาก และสถานที่ผลิตหรือบริษัทเหล่านี้ต้องสามารถหาเจอใน Google ซึ่ง บางยี่ห้อมีการใส่สถานที่ผลิตแต่พอเอามาหาใน Google กับไม่เจอ 2. สถานที่ผลิตหรือบริษัทผู้เป็น Distributor ที่ หาเจอใน Google จะต้องมีความเกี่ยวข้องกับอาหารเสริม คือ ไม่เป็นโรงงานจำหน่ายอาหารเสริมก็เป็นเวปไซด์ให้ข้อมูลเกี่ยวกับอาหารเสริม ซึ่งผมเคยลองเอาสถานที่ของอาหารเสริมยี่ห้อนึงที่ไม่มีการขึ้นทะเบียนมาหา กลับพบว่าเป็นบริษัทเกี่ยวกับอุปกรณ์อิเล็คโทนิกหรือเครื่องใช้ไฟฟ้า ต่างๆ 3. ปริมาณ ของสารที่ระบุอยู่บนฉลาก ควรมีความสัมพันธ์กับขนาดของยาเม็ดหรือแคปซูล อย่างแคปซูลที่ใช้กันทั่วไปจะเป็นเบอร์ 1 และ 0 โดย ที่เบอร์ 1 บรรจุได้ประมาณ 500 กว่า mg / ส่วนเบอร์ 0 บรรจุได้ประมาณ 700 กว่า mg (จากการบรรจุโดยใช้เครื่องบรรจุแคปซูล) ถ้าคุณเห็นว่า ปริมาณสารโดยรวมทั้งหมดเกินตามขนาดของแคปซูลที่เค้าใช้ ก็ให้ทราบได้เลยว่ามันไม่ได้มีอยู่จริง และไม่ได้ผ่านมาตรฐานจากเมืองนอกด้วย หรือในรูปแบบของยาเม็ดตอกหรือเม็ดแคปซูลนิ่ม ตรงนี้มีโอกาสที่เม็ดนึงจะเกิน 1000 mg ได้ แต่ปริมาณก็ไม่มีทางที่จะถึง 1500 mg หรือ 2000 mg เหมือน ที่บางยี่ห้อโฆษณาเอาไว้นะครับ ดังนั้นเมื่อเทียบทั้งหมดแล้วจะพบว่าอาหารเสริมนอกส่วนใหญ่จะมีปริมาณสารมากกว่าในราคาที่ถูกกว่า อีกทั้งสารที่ทานเข้าไปยังมีคุณภาพดีกว่าอีกด้วย แต่ว่าทางร้านก็ไม่ได้หมายความว่าอาหารเสริมไทยจะคุณภาพแย่กว่าอาหารเสริมนอกทุกตัว ก็จะมีบางตัวที่อาหารเสริมไทยมีปริมาณมากกว่า ขนาดรับประทาน : ครั้งละ 1 เม็ด วันละ 1 ครั้งหลังอาหารเย็น หรือทานพร้อม Ivory Capss หรือ กลูต้าไธโอน ครั้งละ 1 เม็ด เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของกลูต้าไธโอนขึ้นอีก 2 เท่า